๑. มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์
|
มนุษย์ทุกคนมีความรักตัวกลัวตายเป็นธรรมดา เราเองก็เช่น เมื่อเราไม่ปรารถนาในสิ่งใดให้เกิดขึ้นกับตนเอง ก็จงอย่าได้กระทำสิ่งนั้นต่อชีวิตหรือบุคคลอื่น แม้กระทั่ง กาย วาจา ใจ ใด ๆ ก็ตามเมื่อเราประพฤติปฏิบัติตน และมีสติรำลึกอยู่เช่นนี้อย่างตลอดเวลาเสมอ ผลดีก็จะเกิดขึ้นต่อเราตลอดจนครอบครัวบุคคลใกล้ชิด มิตรสหาย ตามลำดับ ออกไปถึงสังคมและประเทศชาตินั่นคือ
|
- เป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย
- มีความร่าเริงแจ่มใสเป็นปกต ิ
- ไม่มีศัตรูมาปองร้าย
- ไม่มีความคิดอิจฉาริษยา
- ยังเกิดความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่กิจการงาน
- มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ฯลฯ
|
|
|
๒. เป็นผู้มีเกียรติเชื่อถือได้
|
ศรัทธา ความเชื่อมั่น เป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะพลังแห่งความศรัทธาก่อให้เกิดความก้าวหน้าอันทรงคุณค่า ในชีวิตมนุษย์ทุกคน เช่นเรามีความเชื่อถือใน
|
- บิดามารดา
- ครูอาจารย์
- หลักธรรม
- ความสามารถของตนเอง
|
เราลองถามตนเองดูซิว่า หากเราไม่มีความเชื่อถือไว้วางใจในสิ่งดังกล่าวข้างตนนั้น เราจะเป็นเช่นไร ฉะนั้นเมื่อเราต้องการความมั่นคง ก้าวหน้าในวิถีชีวิตของเรา เราจึงต้องสร้างความศรัทธา เชื่อมั่นในตนเองและมีความสัตย์จริง จริงใจต่อทุกคน
|
|
๓. กล้าเผชิญความจริงยึดมั่นในทางดี
|
ปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ในทุกวงการทุกระดับโลก หรือความวิบัติฉิบหายของกิจการงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น เมื่อเราสรุปวิจัยออกมาแล้วมันก็คือ ผู้ร่วมงานทุกคน โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชานั้น ไม่มีความรับผิดชอบ ขี้ขลาด เห็นแก่ตัวและไม่กล้าเสียสละ เมื่อเราท่านทั้งหลาย มีความกล้าเผชิญความรับผิด และกล้าแสดงไปในทางที่ชอบ และหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย กล้าเผชิญต่ออุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ
มีความยุติธรรม เสียสละทั้งความคิด กำลังกาย กำลังใจ เมื่อเราปฏิบัติตนได้กดังกล่าวมาแล้ว ก็จะนำความสำเร็จมาสู่ตน
|
|
๔. เข้มแข็งทรหดอดทน
|
มนุษย์ใด ๆ ที่เกิดมาขาดคุณสมบัติในข้อนี้แล้ว ก็จะทำการสิ่งใดหาสำเร็จสมความตั้งใจไม่ เพราะความอดทน หรือ ทางพระ เรียกว่า "ขันติ" นั้น เมื่อมีอยู่ในตัวบุคคลใด ความสำเร็จต่าง ๆ ก็จะบรรลุในที่สุด
|
|
๕. มีจิตใจกว้างขวาง ยอมรับฟังความคิดเห็น
|
เราทุกคนย่อมยอมรับว่า คนเดียวจะมีความสามารถกระทำการใด ๆให้สำเร็จได้นั้นเป็นสิ่งยาก ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในสังคมซึ่งมีการร่วมกันอยู่ เราจะต้องเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง และบางครั้งก็ต้องยอมรับฟังในความคิดความเห็นของผู้อื่น หรือเพื่อนร่วมงานของเรา ความสำเร็จต่าง ๆ ก็จะบรรลุล่วงไปด้วยประการทั้งปวง
|
|
๖. พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่
|
เราจงอย่าได้อยากได้ในทรัพย์สมบัติของผู้อื่น และจงอย่าพึงพอใจในทรัพย์จนเกินความจำเป็นในสิ่งที่ตนจะดำรงอยู่ เราจงมีความพึงพอใจในทรัพย์เรา ในความเป็นอยู่ของเรา ในทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบ ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดความเดือดร้อน จงรับในสิ่งที่ควรรับ
จงทำในสิ่งที่ควรทำ เมื่อเราปฏิบัติได้ดังนี้ ชีวิตเราก็จะพ้นห้วงแห่งความทุกข์ จะมีความสุขตลอดกาล เพราะในใจเราเป็นสุข จึงอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง
|
|
๗. อยู่ในระเบียบวินัย
|
...ระเบียบ หมายถึง กฎข้อบังคับหรือหลักเกณฑ์ ต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมประสิทธิภาพของการงานได้ดียิ่งขึ้น เป็นการช่วยให้ชีวิตของบุคคล
ฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินไปอย่างมีผลดี ระเบียบอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็น
...วินัย หมายถึง หลักหรือวิธีทางในการสร้างนิสัย ประพฤติปฏิบัติอันเหมาะสม
สร้างแนวความคิดอันมีเหตุผล และสร้างอุดมคติอันดีงามให้แก่บุคคล ยังผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกโดยส่วนรวม เป็นที่ยอมรับของสังคม และช่วยให้การอยู่ร่วมกันในสังคมดำเนินด้วยดี
...กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า วินัย เป็นเครื่องรักษาตนและหมู่คณะให้อยู่เป็นปกติสุขทั่วถึงกัน ไม่มีใคร
ประพฤติให้เป็นที่เสียหายแก่ใคร เดือดร้อนแก่ใคร เป็นแบบแผนประเพณีของหมู่คณะ
...ฉะนั้นทั้งระเบียบวินัย อาจเป็นไปในรูปที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่าง หรือส่งเสริมพฤติกรรมบางอย่างเช่น ควบคุมไม่ให้ประพฤติผิดศีลธรรม หรือส่งเสริมให้มีความสามัคคี
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บุคคลใดประพฤติปฏิบัติอยู่ในระเบียบที่ดีแล้ว ย่อมดำรงอยู่ในความรักของคนทั่วไป
|
|
๘. มัธยัสถ์
|
การใช้ทรัพย์ที่ตนมีอยู่อย่างไม่ระมัดระวังทำตัวเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายแล้วคงยากจน ลำบากย่อมจะมาอยู่กับผู้นั้น หากเรารู้จักใช้ รู้จักจ่าย ให้แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนและสังคม แล้วย่อมนำความสุขและชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลของตนในที่สุด
|
|
๙. กตัญญูรู้คุณ
|
คนที่เป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณ บิดา มารดา ครู อาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งปวง บุคคลนั้นจะมีแต่ผู้ยกย่องสรรเสริญตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าชีวิตเราจะดับสูญไป ก็ยังจะมีแต่ผู้นำมากล่าวถึงไม่มีที่สิ้นสุด
|
|
๑๐. ปฏิบัติศาสนกิจโดยเคร่งครัด
|
ศาสนาเป็นที่มาแห่งความดี และความเจริญแห่งชีวิต เมื่อเรามีของดีอยู่แล้ว เราจะต้องหมั่นปฏิบัติให้.......ที่คุณประโยชน์สมบูรณ์ อย่าละเลยจนสิ่งนั้นไม่มีค่า เมื่อเราปฏิบัติในสิ่งดีอยู่เป็นนิจ สิ่งดีนั้นก็จะแผ่รัศมี มาสู่เราให้เกิดเป็นมงคล ดำรงตนอยู่ด้วยความสุข
|
|
๑๑. หลีกเลี่ยงอบายมุขทั้งปวง
|
คนเราโดยส่วนรวมมักจะโทษกล่าวว่าผู้อื่น มองแต่ส่วนเสียของผู้อื่น ฝากชีวิตไว้กับโชคชะตา โทษดวง ฯลฯ ดังนั้นจึงสมควรมีการพิจารณาตนเองอยู่เสมอ ว่าหนทางที่เราประพฤติปฏิบัติตนอยู่นั้นดีชั่วอย่างไร นั่นคือจงอย่าทำตนให้อยู่ในอบายมุข(ทางแห่งความฉิบหาย)
และท่านจะอยู่เหนือความชั่ว ตั้งอยู่ในคงวามดีงามตลอดไป เพราะชีวิตเราขึ้นอยู่กับการกระทำและคำพูดของเรา หาใช่แขวนไว้กับกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ไม่ เราคือพระเจ้าของตัวเราเอง ฉะนั้นเพื่อความเจริญของเรา เราควรหลีกเลี่ยงให้ห่างจากอบายมุขให้ไกลที่สุดนั่นคือ
เกียจคร้านในการทำงาน |
เป็นนักเลงสุรา |
คบคนชั่วเป็นมิตร |
เป็นนักเที่ยวกลางคืน |
เป็นนักเรียนการพนัน |
เป็นนักเลงผู้หญิง |
|
|
๑๒. ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
|
...มูลเหตุแห่งความวุ่นวายของสังคมเรายุคปัจจุบันนี้ แม้กระทั่งตัวเราที่เดือดร้อนอยู่เป็นประจำ ก็เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของความแปรปรวนในโลก ด้วยเหตุนี้เราจึงตกอยู่ในกังวลอันยุ่งยากไม่เป็นตัวของตัวเองจนไม่สามารถแก้ไขช่วยตนเองได้ในที่สุด ก็กระทบกระเทือน
ต่อสังคมส่วนรวม วิธีการกระทำตนให้เป็นหนึ่งไม่งมงายต่อ ความไม่แน่นอนของโลกนั้น คือ เราต้องกำหนดรู้ว่าสิ่งแน่นอน ที่เราจะต้องประสบอยู่เป็นปกติประจำในชีวิตก็คือ โลกธรรม ๘
เราก็จะเป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ๆ สมกับเป็นผู้ที่มีอารยธรรมดีหรือผู้ที่เจริญ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปลงต่อโลกธรรม คือ
|
๑. ไม่ยินดียินร้ายเมื่อได้ลาภ |
|
๒. ไม่ยินดียินร้ายเมื่อได้ยศ |
|
๓. ไม่ยินดียินร้ายเมื่อสุข |
|
๔. ไม่ยินดียินร้ายเมื่อได้รับการกล่าวชมสรรเสริญ |
|
๕. เพราะสักวันหนึ่งเราก็ต้องหมดลาภ |
|
๖. เพราะสักวันหนึ่งเราก็ต้องเสื่อมยศ |
|
๗. เพราะประเดี๋ยวความทุกข์ก็จะมาแทน |
|
๘. เพราะอีกไม่นานท่านจะอิจฉาใส่ร้ายนินทา
|
|
|